ทำยังไงให้มีเงินเหลือออม?

โค้ชหนุ่ม
โค้ชหนุ่ม
ทำยังไงให้มีเงินเหลือออม?

ยุคนี้เงินรั่วง่าย เพราะสิ่งกระตุ้นเร้าเยอะ การถือเงินไว้ตลอด 30 วันแล้วบริหารให้เหลือ เป็นเรื่องยากกว่าการตัดเงินเก็บออมก่อน แล้วค่อยใช้ส่วนที่เหลือจากการออม

สมการการออมยุคปัจจุบันที่ได้ผลและมีประสิทธิภาพคือ “เหลือเก็บค่อยเอาไปใช้” แทนที่จะเป็น “เหลือจ่ายค่อยเอาไปเก็บ” เหมือนในอดีต

รายได้ – เงินออม = เงินสำหรับใช้จ่าย

เคล็ดลับออมเงินสไตล์โค้ชหนุ่ม

เทคนิคที่ผมใช้แล้วได้ผลลัพธ์ที่ดี อยากแบ่งปันไว้ให้ลองนำไปปรับใช้กัน มีดังนี้ครับ

1. หักออมก่อนใช้จ่ายแบบอัตโนมัติ

2. สะสมเศษเหรียญ

3. หักภาษีฟุ่มเฟือย 10%

โลกการเงินมีคำศัพท์สำคัญอยู่เบื้องต้นแค่ 2 คำ นั่นคือ “สภาพคล่อง” และ “ความมั่งคั่ง” การเงินเราต้องคล่อง มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บก่อน จากนั้นก็จะค่อยๆ สะสม จนเหลือล้นพร้อมไว้สำหรับการนำไปต่อยอดให้งอกเงย และกลายเป็นความมั่งคั่งในที่สุด ซึ่งทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจาก “เงินออม”

1. หักออมก่อนใช้จ่ายแบบอัตโนมัติ

ผมเริ่มเก็บเงินด้วยวิธีนี้ หลังจากได้อัปเดตสมุดบัญชีเงินฝากที่ไม่ได้อัปเดตรายการอยู่หลายปี ตอนแรกนึกว่าจะมีรายการยาวเหยียด ปรากฏว่าธนาคารสรุปธุรกรรมการเงินที่ผ่านมาให้แค่ 2 บรรทัด

บรรทัดแรก แสดงยอดเงินเข้าบัญชีรวม 1,741,085.42 บาท บรรทัดที่สอง แสดงยอดเงินรวมที่ถูกถอนออก 1,734,659.51 บาท มีเงินเหลือติดบัญชีอยู่ 6,000 กว่าบาท

ที่จริงก็รู้เรื่องการหักบัญชีอัตโนมัติมานานแล้ว แต่แอบกลัวว่าถ้าตัดไปก่อนแล้วจะไม่พอใช้ สุดท้ายก็เลยไม่ได้เริ่มทำสักที เอาเข้าจริงวิธีการหักออมแบบอัตโนมัตินั้นไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ปัญหาอยู่ที่ความกังวลใจของเราเองต่างหาก

วันนั้นเลยคิดใหม่ทำใหม่ เดินเข้าไปเปิดบัญชีเงินฝากประจำ แล้วสั่งให้ตัดเงินจากบัญชีเงินเดือนออก หลักการสภาพคล่องที่ดีต้องออมอย่างน้อย 10% แต่ตอนนั้นผมมีหนี้ค่อนข้างเยอะ เลยเริ่มต้นที่ 5% ไปก่อน แม้จะดูน้อยไปสักนิด แต่พอได้เริ่ม ได้ออม ได้สะสมต่อเนื่อง ก็รู้สึกดีต่อใจ 🙂

พลังของการตัดออมต่อเนื่อง

สิ่งที่สังเกตเห็นจากตัวเองก็คือ พอเราเริ่มเก็บเงินได้ต่อเนื่อง ก็จะเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ยาก เราทำมันได้ จากนั้นก็จะเริ่มอยากเก็บเงินให้ได้มากขึ้น เริ่มงกมากขึ้น ใช้จ่ายน้อยลง

และที่สำคัญที่สุดก็คือ เริ่มมีความหวังกับชีวิตมากขึ้น เพราะเมื่อเริ่มเก็บเงินหมื่นได้ ตัวเราเองก็จะเริ่มเชื่อว่าการเก็บเงินแสนนั้นเป็นไปได้ และพอเก็บเงินแสนได้จริง ความเชื่อก็จะมีมากขึ้น จนถึงจุดที่เรากล้าเชื่อกล้าฝันว่าวันหนึ่งเราจะมีเงินเก็บหลักล้านได้

ช่องทางการตัดออม สำหรับคนเริ่มต้น ควรเลือกช่องทางการเก็บเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ จะเลือกเก็บสะสมไว้ที่เดียวหรือหลายช่องทางผสมกันก็ได้ เช่น

เงินฝากธนาคาร

เงินฝากสหกรณ์

กองทุนรวมตลาดเงินและกองทุนรวมตราสารหนี้

2. สะสมเศษเหรียญ

ทุกครั้งที่กลับถึงบ้าน ผมจะแยกเหรียญ 5 และ 10 เอาไว้หยอดใส่กระปุกเพื่อการลงทุน เงินเก็บแบบนี้เหมือนจะไม่เยอะมาก แต่ถ้าเก็บทุกวัน ภายใน 2-3 เดือน รับรองเลยว่ามีเงินเก็บหลักพัน เอาไว้สมทบซื้อกองทุนรวมสะสมเพิ่มได้อย่างสบายๆ

ส่วนเศษเหรียญบาท เหรียญ 2 บาท และเหรียญสลึง จะเก็บแยกไว้อีกกระปุก สำหรับรวบรวมไว้บริจาค ไม่ว่าจะเป็นตู้รับบริจาคตามห้าง หรือนำไปร่วมสมทบทุนทำบุญตามโอกาสที่เหมาะสม

มีหลายคนพัฒนาแนวคิดนี้ต่อยอดไปใช้กับธนบัตรใบละ 50 บาท เช่น ทุกครั้งที่ได้เงินทอน แล้วมีแบงค 50 บาทติดมาด้วย ก็จะกันไว้เก็บออม ไม่นำไปใช้ แบบนี้ก็แล้วแต่วิธีการของแต่ละคน สำคัญคือ ขอให้ได้เริ่มเก็บเถอะ วิธีไหนก็ดีทั้งนั้นครับ

3. หักภาษีฟุ่มเฟือย 10%

“อยากได้ของฟุ่มเฟือยก็ซื้อได้ แต่ต้องจ่ายภาษีให้ตัวเองด้วย” เช่น ถ้าอยากดื่มกาแฟดี แก้วละ 150 บาท ก็ดื่มได้ แต่ดื่มแล้วต้องหัก 15 บาท (หรือ 10% ของ 150 บาท) หยอดใส่กระปุกไว้สำหรับเก็มออมด้วย หรือถ้าวันไหนอยากกินข้าวนอกบ้าน มื้อละ 1,000 บาทก็กินได้ แต่ต้องคิดภาษีฟุ่มเฟือย 10%

ผมทำแบบนี้แล้วรู้สึกดีกับตัวเอง เพราะ

1. ทำให้เกิดสติในการจ่าย เนื่องจากของที่อยากได้จะมีราคาแพงขึ้นเล็กน้อย

2. มีเงินออมเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ใช้จ่าย ในแต่ละเดือนผมสะสมเงินจากวิธีก๊อกๆ แก๊กๆ แบบนี้ได้พอสมควร จากเริ่มต้นเก็บออมได้ 5% ในครั้งแรก ก็เริ่มเก็บได้มากขึ้น แล้วก็มากขึ้นเรื่อยๆ

 

โลกการเงินมีคำศัพท์สำคัญอยู่เบื้องต้นแค่ 2 คำ นั่นคือ “สภาพคล่อง” และ “ความมั่งคั่ง” การเงินเราต้องคล่อง มีกิน มีใช้ มีเหลือเก็บก่อน จากนั้นก็จะค่อยๆ สะสม จนเหลือล้นพร้อมไว้สำหรับการนำไปต่อยอดให้งอกเงย และกลายเป็นความมั่งคั่งในที่สุด ซึ่งทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจาก “เงินออม”